หลักการดำรงชีพเพื่อประโยชน์สุขในวันนี้
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พวกข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์
บริโภคกาม แออัดอยู่ด้วยบุตร ครองเรือน
ใช้สอยกระแจะจันทน์ จากแคว้นกาสี
ทัดทรงพวงดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้
ยินดีทองและเงินอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรม
ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
ทั้งในทิฏฐธรรม (ในปัจจุบัน)
และในสัมปรายะ (ในเวลาถัดต่อมา)
แก่พวกข้าพระองค์ผู้อยู่ในสถานะเช่นนี้เถิด พระเจ้าข้า !”
พ๎ยัคฆปัชชะ ! ธรรม ๔ ประการเหล่านี้
เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่กุลบุตร
ในทิฏฐธรรม (ในปัจจุบัน) ๔ ประการ อย่างไรเล่า ?
๔ ประการ คือ :-
๑. อุฏฐานสัมปทา (ความขยันในอาชีพ)
๒. อารักขสัมปทา (การรักษาทรัพย์)
๓. กัลยาณมิตตตา (ความมีมิตรดี)
๔. สมชีวิตา (การเลี้ยงชีวิตอย่างสมดุลย์พอเพียงแก่ฐานะ)
[๑] ความขยันในอาชีพ
พ๎ยัคฆปัชชะ ! อุฏฐานสัมปทาเป็นอย่างไรเล่า ?
พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีนี้ สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยการลุกขึ้น
กระทำการงาน คือด้วยกสิกรรม หรือ วานิชกรรม โครักขกรรม
อาชีพผู้ถืออาวุธ อาชีพราชบุรุษ หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในอาชีพนั้น ๆ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วยการสอดส่องในอุบายนั้น ๆ สามารถกระทำ สามารถจัดให้กระทำ
พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เรียกว่าอุฏฐานสัมปทา (ความขยันในอาชีพ)
[๒] การรักษาทรัพย์
พ๎ยัคฆปัชชะ ! อารักขสัมปทาเป็นอย่างไรเล่า ?
พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีนี้,
โภคะ อันกุลบุตรหาได้มาด้วยความเพียร
เป็นเครื่องลุกขึ้น รวบรวมมาด้วยกำลังแขน
มีตัวชุ่มด้วยเหงื่อ เป็นโภคทรัพย์ประกอบด้วยธรรม
ได้มาโดยธรรม, เขารักษาคุ้มครองอย่างเต็มที่ ด้วยหวังว่า
“อย่างไรเสียพระราชาจะไม่ริบทรัพย์ของเราไป
โจรจะไม่ปล้นเอาไป ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดพาไป
ทายาทอันไม่รักใคร่เรา จะไม่ยื้อแย่งเอาไป” ดังนี้
พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เรียกว่าอารักขสัมปทา (การรักษาทรัพย์)
[๓] ความมีมิตรดี
พ๎ยัคฆปัชชะ ! กัลยาณมิตตตา เป็นอย่างไรเล่า ?
พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีนี้
อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด,
ถ้ามีบุคคลใดๆ ในบ้านหรือนิคมนั้น
เป็นคหบดีหรือบุตรคหบดีก็ดี เป็นคนหนุ่มที่เจริญด้วยศีล
หรือเป็นคนแก่ที่เจริญด้วยศีลก็ดี ล้วนแต่ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยจาคะ (การบริจาค)
ถึงพร้อมด้วยปัญญาอยู่แล้วไซร้, กุลบุตรนั้นก็ ดำรงตนร่วม พูดจาร่วมสากัจฉา (สนทนา) ร่วมกับชนเหล่านั้น
เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยสัทธา
โดยอนุรูปแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยสัทธา
เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยศีล
โดยอนุรูปแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยจาคะ
โดยอนุรูปแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ
เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยปัญญา
โดยอนุรูปแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาอยู่ในที่นั้นๆ
พ๎ยัคฆปัชชะ !นี้เรียกว่ากัลยาณมิตตตา (ความมีมิตรดี)
[๔] การเลี้ยงชีวิตอย่างสมดุลย์พอเพียงแก่ฐานะ
พ๎ยัคฆปัชชะ ! สมชีวิตา เป็นอย่างไรเล่า ?
พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีนี้ รู้จักความได้มาแห่งโภคทรัพย์
รู้จักความสิ้นไปแห่งโภคทรัพย์ แล้วดำรงชีวิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ฝืดเคืองนักโดยมีหลักว่า
“รายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย และรายจ่ายของเรา
จักไม่ท่วมรายรับ ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้
พ๎ยัคฆปัชชะ ! เปรียบเหมือนคนถือตาชั่งหรือลูกมือของเขา
ยกตาชั่งขึ้แล้วก็รู้ว่า “ยังขาดอยู่เท่านี้ หรือเกินไปแล้วเท่านี้” ดังนี้ ฉันใด. กุลบุตรนี้ ก็ฉันนั้น
เขารู้จักความได้มาแห่งโภคทรัพย์
รู้จักความสิ้นไปแห่งโภคทรัพย์
แล้วดำรงชีวิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ฝืดเคืองนัก โดยมีหลักว่า
“รายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย และรายจ่ายของเรา
จักไม่ท่วมรายรับ ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้
พ๎ยัคฆปัชชะ ! ถ้ากุลบุตรนี้ เป็นผู้มีรายได้น้อย
แต่สำเร็จการเป็นอยู่ อย่างฟุ่มเฟือยแล้วไซร้
ก็จะมีผู้กล่าวว่า กุลบุตรนี้ใช้จ่ายโภคทรัพย์ (อย่างสุรุ่ยสุร่าย)
เหมือนคนกินผลมะเดื่อ ฉันใดก็ฉันนั้น
พ๎ยัคฆปัชชะ ! แต่ถ้ากุลบุตร เป็นผู้มีรายได้มหาศาล
แต่สำเร็จการเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นแล้วไซร้
ก็จะมีผู้กล่าวว่า กุลบุตรนี้จักตายอดตายอยากอย่างคนอนาถา
พ๎ยัคฆปัชชะ ! เมื่อใด กุลบุตรนี้ รู้จักความได้มาแห่งโภคทรัพย์
รู้จักความสิ้นไปแห่งโภคทรัพย์ แล้วดำรงชีวิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ฝืดเคืองนัก โดยมีหลักว่า..
“รายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย และรายจ่ายของเรา
จักไม่ท่วมรายรับ ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้
พ๎ยัคฆปัชชะ !นี้เราเรียกว่า สมชีวิตา
(การเลี้ยงชีวิตอย่างสมดุลย์พอเพียงแก่ฐานะ).
---------------------
- อฏฺฐก. อํ. ๒๓/๒๘๙/๑๔๔.