หน้าที่ของภรรยา ที่พึงปฏิบัติต่อสามี ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุมารีเหล่านี้ของข้าพระองค์ จักไปอยู่สกุลสามี
ขอพระผู้มีพระภาคทรงกล่าวสอน ทรงพร่ำสอนกุมารีเหล่านั้น
ซึ่งจะพึงเป็นประโยชน์สุขแก่กุมารีเหล่านั้นตลอดกาลนาน
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสอนกุมารีเหล่านั้นต่อไปดังนี้ว่า
ดูกรกุมารี เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
มาตุคาม(ผู้หญิง)ในโลกนี้
ที่มารดาบิดาผู้มุ่งประโยชน์แสวงหาความเกื้อกูล
อนุเคราะห์เอื้อเอ็นดูยอมยกให้แก่ชายใดผู้เป็น
สามีสำหรับชายนั้น เธอต้องตื่นก่อน นอนภายหลัง
คอยฟัง รับใช้ประพฤติให้ถูกใจ กล่าวถ้อยคำเป็น ที่รัก
ดูกรกุมารี เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรกุมารี เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
ชนเหล่าใดเป็นที่เคารพของสามี คือ มารดาบิดาหรือสมณพราหมณ์
เธอสักการะเคารพนับถือบูชาชนเหล่านั้น และต้อนรับท่านเหล่านั้น
ผู้มาถึงแล้วด้วยอาสนะและน้ำ
ดูกรกุมารี เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรกุมารี เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
การงานใดเป็นงานในบ้านของสามี คือ เธอเป็นคนขยัน
ไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาอันเป็น
อุบายในการงานนั้น สามารถจัดทำได้
ดูกรกุมารี เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรกุมารี เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
ชนเหล่าใดเป็นคนภายในบ้านของสามี คือ ทาส คนใช้ หรือกรรมกร
ย่อมรู้ว่าการงานที่เขาเหล่านั้น ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ
ย่อมรู้อาการของคนภายในบ้านผู้เป็นไข้ว่าดีขึ้นหรือทรุดลง
และย่อมแบ่งปันของกินของบริโภคให้แก่เขาตามควร
ดูกรกุมารี เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรกุมารี เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
สิ่งใดที่สามีหามาได้จะเป็นทรัพย์ ข้าว เงิน หรือทอง ย่อมรักษาคุ้มครองสิ่งนั้นไว้
และไม่เป็นนักเลงการพนัน ไม่เป็นขโมย ไม่เป็นนักดื่ม ไม่ผลาญทรัพย์ให้พินาศ
ดูกรกุมารี เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรกุมารีทั้งหลาย มาตุคามผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายเทวดาเหล่ามนาปกายิกา
สุภาพสตรีผู้มีปรีชา ย่อมไม่ดูหมิ่นสามี
ผู้หมั่นเพียร ขวนขวายอยู่เป็นนิตย์
เลี้ยงตนอยู่ทุกเมื่อ ทั้งให้ความปรารถนาทั้งปวง
ไม่ยังสามีให้ขุ่นเคือง ด้วยถ้อยคำแสดงความหึงหวง
และย่อมบูชาผู้ที่เคารพทั้งปวงของสามี
เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านสงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี
ประพฤติเป็นที่พอใจของสามี รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้
นารีใด ย่อมประพฤติตามความชอบใจของสามีอย่างนี้
นารีนั้น ย่อมเข้าถึงความเป็นเทวดาเหล่ามนาปกายิกา.
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๓๒ หัวข้อที่ ๓๓
ท่านพระอนุรุทธะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ขอประทานวโรกาส
วันนี้ข้าพระองค์ไปยังวิหารที่พักกลางวันหลีกเร้นอยู่
ครั้งนั้นแล เทวดาเหล่ามนาปกายิกามากมายเข้ามาหา
ข้าพระองค์ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วกล่าวกะข้าพระองค์ว่า
ข้าแต่ท่านพระอนุรุทธะผู้เจริญ !
ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเทวดาชื่อว่า มนาปกายิกา
มีอิสระ และอำนาจในฐานะ ๓ ประการคือ :-
(๑) ข้าพเจ้าทั้งหลายหวังวรรณะเช่นใด ก็ได้วรรณะเช่นนั้นโดยพลัน
(๒) หวังเสียงเช่นใด ก็ได้เสียงเช่นนั้นโดยพลัน
(๓) หวังความสุขเช่นใด ก็ได้ความสุขเช่นนั้นโดยพลัน
ข้าแต่พระอนุรุทธะผู้เจริญ !
ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเทวดาชื่อว่ามนาปกายิกา
มีอิสระและอำนาจในฐานะ ๓ ประการนี้แล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ข้าพระองค์มีความดำริอย่างนี้ว่า
โอหนอ ขอให้เทวดาทั้งปวงนี้พึงมีร่างเขียว มีผิวพรรณเขียว
นุ่งผ้าเขียว มีเครื่องประดับเขียว
เทวดาเหล่านั้นทราบความดำริของข้าพระองค์แล้วล้วนมี
ร่างเขียว มีผิวพรรณเขียว นุ่งผ้าเขียว มีเครื่องประดับเขียว
ข้าพระองค์จึงดำริต่อไปว่า
โอหนอ ขอให้เทวดาทั้งปวงนี้ พึงมีร่างเหลือง ฯลฯ มีร่างแดง ฯลฯ
มีร่างขาว มีผิวพรรณขาว นุ่งผ้าขาวมีเครื่องประดับขาว
เทวดาเหล่านั้นก็ทราบความดำริของข้าพระองค์
แล้วล้วนมีร่างขาว มีผิวพรรณขาว นุ่งผ้าขาว มีเครื่องประดับขาว
เทวดาเหล่านั้น ตนหนึ่งขับร้อง ตนหนึ่งฟ้อนรำ
ตนหนึ่งปรบมือ เปรียบเหมือนดนตรีมีองค์ ๕ ที่เขาปรับดีแล้ว
ตีดังไพเราะทั้งบรรเลงโดยนักดนตรีผู้เชี่ยวชาญ มีเสียงไพเราะ
เร้าใจ ชวนให้เคลิบเคลิ้มดูดดื่ม และน่ารื่นรมย์ ฉันใด
เสียงแห่งเครื่องประดับของเทวดาเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีเสียงไพเราะเร้าใจชวนให้เคลิบเคลิ้ม ดูดดื่ม และน่ารื่นรมย์
ข้าพระองค์จึงทอดอินทรีย์ลง เทวดาเหล่านั้นทราบว่า
ข้าพระองค์ไม่ยินดี จึงอันตรธานไป ณ ที่นั้นเอง
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
มาตุคาม(ผู้หญิง)ประกอบด้วยธรรมเท่าไรเมื่อตายไป
จึงเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่ามนาปกายิกา.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบว่า
อนุรุทธะ !
มาตุคาม(ผู้หญิง)ประกอบด้วยธรรม ๘ ประการ เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่ามนาปกายิกา.
ธรรม ๘ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
อนุรุทธะ !
(๑)
มาตุคาม(ผู้หญิง)ในโลกนี้ ที่มารดาบิดาผู้มุ่งประโยชน์
แสวงหาความเกื้อกูล อนุเคราะห์ เอื้อเอ็นดูยอมยกให้แก่ชายใด
ผู้เป็นสามี สำหรับชายนั้นเธอต้องตื่นก่อนนอนภายหลังคอยฟัง
รับใช้ ประพฤติให้ถูกใจ กล่าวถ้อยคำเป็นที่รัก
(๒)
ชนเหล่าใดเป็นที่เคารพของสามี คือ มารดาบิดาหรือสมณพราหมณ์
เธอสักการะเคารพนับถือบูชาชนเหล่านั้น
และต้อนรับท่านเหล่านั้นผู้มาถึงแล้วด้วยอาสนะและน้ำ
(๓)
การงานใดเป็นงานในบ้านของสามี คือ เธอเป็นคนขยัน
ไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาอัน
เป็นอุบายในการงานนั้น สามารถจัดทำได้
(๔)
ชนเหล่าใดเป็นคนภายในบ้านของสามี คือทาส คนใช้
หรือกรรมกร ย่อมรู้ว่าการงานที่เขาเหล่านั้นทำแล้วและยังไม่ได้ทำ
(๕)
ย่อมรู้อาการของคนภายในบ้านผู้เป็นไข้ว่าดีขึ้นหรือทรุดลง
(๖)
ย่อมแบ่งปันของกินของบริโภคให้แก่เขาตามควร
(๗)
สิ่งใดที่สามีหามาได้จะเป็นทรัพย์ ข้าว เงินหรือทอง
ย่อมรักษาคุ้มครองสิ่งนั้นไว้ และไม่เป็นนักเลงการพนัน
ไม่เป็นขโมย ไม่เป็นนักดื่ม ไม่ผลาญทรัพย์ให้พินาศ
(๘)
เป็นอุบาสิกาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ
เป็นผู้มีศีล งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
งดเว้นจากการพูดเท็จ และการดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
เป็นผู้มีการบริจาค มีใจปราศจากมลทิน คือ
ความตระหนี่อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม
ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน
อนุรุทธะ !
มาตุคาม(ผู้หญิง)ประกอบด้วยธรรม ๘ประการนี้แล เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่ามนาปกายิกา.
สุภาพสตรีผู้มีปรีชา ย่อมไม่ดูหมิ่นสามี
ผู้หมั่นเพียร ขวนขวายอยู่เป็นนิตย์
เลี้ยงตนอยู่ทุกเมื่อ ทั้งให้ความปรารถนาทั้งปวง
ไม่ยังสามีให้ขุนเคืองด้วยถ้อยคำแสดงความหึงหวง
และย่อมบูชาผู้ที่เคารพทั้งปวงของสามี
เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน
สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี
ประพฤติเป็นที่พอใจของสามี
รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้
นารีใด ย่อมประพฤติตามความชอบใจของสามีอย่างนี้
นารีนั้น ย่อมเข้าถึงความเป็นเทวดาเหล่ามนาปกายิกา.
หนังสือ พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๓๑๓
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะนางวิสาขามิคารมารดาว่า
ดูกรวิสาขา มาตุคามผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อชัยชนะในโลกนี้ชื่อว่าปรารภโลกนี้แล้ว
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรวิสาขา ! มาตุคาม(ผู้หญิง)ในโลกนี้
เป็นผู้จัดการงานดี ๑
สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี ๑
ประพฤติเป็นที่พอใจของสามี ๑
รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ ๑
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)เป็นผู้จัดการงานดีอย่างไร
การงานใดเป็นงานในบ้านของสามี คือ เธอเป็นคนขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น
ประกอบด้วยปัญญาอันเป็นอุบายในการงานนั้น สามารถจัดทำได้
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)เป็นผู้จัดการงานดีอย่างนี้แล
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)เป็นผู้สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดีอย่างไร
ดูกรวิสาขามาตุคามในโลกนี้ ชนเหล่าใดเป็นคนภายในบ้านของสามี คือ
ทาส คนใช้ หรือกรรมกร ย่อมรู้ว่าการงานที่เขาเหล่านั้น ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ
ย่อมรู้อาการของคนภายในบ้านผู้เป็นไข้ว่าดีขึ้นหรือทรุดลง
และย่อมแบ่งปันของกินของบริโภคให้แก่เขาตามควร
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)เป็นผู้สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดีอย่างนี้แล
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)เป็นผู้ประพฤติเป็นที่พอใจสามีอย่างไร
ดูกรวิสาขา มาตุคามในโลกนี้
ไม่ละเมิดสิ่งอันไม่เป็นที่พอใจของสามีแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)ประพฤติเป็นที่พอใจของสามีอย่างนี้แล
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้อย่างไร
ดูกรวิสาขา มาตุคามในโลกนี้จัดการสิ่งใดที่สามีหามาได้จะเป็นทรัพย์
ข้าว เงิน หรือทอง ย่อมรักษาคุ้มครองสิ่งนั้นไว้ และไม่เป็นนักเลง
การพนัน ไม่เป็นขโมย ไม่เป็นนักดื่ม ไม่ผลาญทรัพย์ให้พินาศ
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้อย่างนี้แล
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อชัยชนะในโลกหน้า ชื่อว่าปรารภโลกหน้าแล้ว
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรวิสาขา มาตุคาม(ผู้หญิง)ในโลกนี้
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ๑
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ๑
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ ๑
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ๑
ดูกรวิสาขา มาตุคามเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาอย่างไร
ดูกรวิสาขามาตุคาม(ผู้หญิง)ในโลกนี้
เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ของพระตถาคตว่า เพราะเหตุอย่างนี้ๆพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งวิชชา เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่าเป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ด้วยธรรม
เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
ดูกรวิสาขา มาตุคามเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาอย่างนี้แล
ดูกรวิสาขา มาตุคามเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลอย่างไร
ดูกรวิสาขามาตุคาม(ผู้หญิง)ในโลกนี้
เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากการพูดเท็จ และการดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ดูกรวิสาขา มาตุคามเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลอย่านี้แล
ดูกรวิสาขา มาตุคามเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะอย่างไร
ดูกรวิสาขามาตุคาม(ผู้หญิง)ในโลกนี้
เป็นผู้มีการบริจาค มีใจปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่อยู่ครองเรือน
มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ
ยินดีในการจำแนกทาน
ดูกรวิสาขา มาตุคามเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะอย่างนี้แล
ดูกรวิสาขา มาตุคามเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาอย่างไร
ดูกรวิสาขามาตุคาม(ผู้หญิง)ในโลกนี้
เป็นผู้มีปัญญาประกอบด้วยปัญญาเครื่องให้ถึงสัจจะแห่งการเกิดดับ
เป็นเครื่องไปจากข้าศึก เป็นเครื่องเจาะแทงกิเลส
เป็นเครื่องถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งทุกข์โดยชอบ.
ดูกรวิสาขา มาตุคามเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาอย่างนี้แล
ดูกรวิสาขา มาตุคามประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล
ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อชัยชนะในโลกหน้า ชื่อว่าปรารภโลกหน้าแล้ว
มาตุคามผู้จัดการงานดี สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี
ประพฤติเป็นที่พอใจของสามี รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้
มาตุคามนั้นเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาและศีล ปราศจากความตระหนี่
รู้ความประสงค์ ชำระทางสัมปรายิก ประโยชน์อยู่เป็นนิตย์
นารีใดมีธรรม ๘ ประการนี้ ดังกล่าวมานี้
ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญนารีแม้นั้นว่า เป็นผู้มีศีล
ตั้งอยู่ในธรรม พูดคำสัตย์ อุบาสิกาผู้มีศีลเช่นนั้น ถึงพร้อมด้วย
อาการ ๑๖ อย่าง ประกอบด้วยองค์คุณ ๘ ประการ
ย่อมเข้าถึงเทวโลกประเภทมนาปกายิกา
สมฺปรายิก-มีในเบื้องหน้า, โลกหน้า
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓
พระสุตตันตปิฎก
ภิกษุทั้งหลาย มาตุคาม(ผู้หญิง)ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
เป็นผู้สามารถอยู่ครองเรือน ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
มาตุคามเป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๑
มาตุคามเป็นผู้งดเว้นจากการลักทรัพย์ ๑
มาตุคามเป็นผู้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๑
มาตุคามเป็นผู้งดเว้นจากการพูดเท็จ ๑
มาตุคามเป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ภิกษุทั้งหลาย มาตุคาม(ผู้หญิง)ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล
เป็นผู้สามารถอยู่ครองเรือน
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๘
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
หน้าที่ ๒๖๐ หัวข้อที่ ๔๘๔ –๔๙๕