
*** "องค์คุณ" ของ "โสดาบัน" และ "สกทาคามี" (นัยยะ)
• "โสดาบัน"
“พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคต ศาสดา” ทรง "ตรัสสอน" ว่า "โสดาบัน" คือ ผู้ที่ถึง "ความสิ้นรอบ" แห่ง “สัญโยชน์สาม” (ติณนัง สัญโยชนานัง ปริกขยา) อัน ประกอบด้วย
• "สักกายะทิฏฐิ" (ความเห็นว่า อุปทานขันธ์ห้า เป็นตัวตนของตน)
• "วิจิกิจฉา" (ความลังเลสงสัย ในมรรคปฏิปทา ตามคำบัญญัติตรัสสอนของ “พระพุทธเจ้า”)
• "สีลัพพตปรามาส" (ความลูบคลำในศีลพรต คือ การประพฤติผิดทาง "กาย วาจา" ตามแบบ สมณะพราหมณ์ และ ปริพาชก เหล่าอื่น ภายนอก "ธรรมวินัย")
“พระศาสดา”
ทรง "ตรัสสอน" และกล่าวถึง "องค์คุณ" ของ "โสดาบัน" ว่า ...
“ติณณัง สัญโยชนานัง ปริกขยา”
(สัญโยชน์สาม ถึงความสิ้นไป)
• ติณณัง = สาม
• สัญโยชนานัง = สัญโยชน์
• ปริกขยา = สิ้นไป
"โสดาบัน" คือ ผู้มีธรรม ที่ "ไม่ทำให้ตกไปในอบาย" และมี "ความเที่ยงแท้" แน่นอน ที่จัก "ตรัสรู้พร้อม" ในเบื้องหน้า
“พระศาสดา”
ทรง ตรัสสอน ว่า
“โสตาปันโน โหติ อวินิปาตธัมโม นิยโต สัมโพธิปรายโน”
• โสตาปันโน = โสดาบัน
• โหติ = ได้เป็น
• อวินิปาตธัมโม = มี "ธรรม" ที่ไม่ทำให้ตกไปใน "อบาย"
• นิยโต = ซึ่งเที่ยง ซึ่งแน่นอน
• สัมโพธิปรายโน = "ตรัสรู้พร้อม" ใน "เบื้องหน้า"
"โสดาบัน" คือ บุคคลที่ "ผุดขึ้น โผล่ขึ้นมา" แล้วเห็นแจ้ง เหลียวดูรอบๆ แล้วตรวจดูไต่สวน กล่าวคือ โผล่ขึ้นแล้ว "ทรงตัว" อยู่ได้แล้ว เห็นแจ้ง (เห็นฝั่ง)
"พระองค์" ทรง "ตรัสสอน" และ "อุปมา" ถึง "โสดาบัน" ด้วย "บุคคลตกน้ำ จำพวกที่ 4" โดยทรง "ตรัสสอน" ว่า ...
ภิกษุทั้งหลาย !
(๔) บุคคล ผุดขึ้น แล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่ เป็นอย่างไร เล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคน ในกรณีนี้ "ผุดขึ้น" คือ มี “สัทธา” ดีใน “กุศลธรรม” ทั้งหลาย มีหิริ ดี มีโอตตัปปะ ดี มีวิริยะ ดี มีปัญญา ดี ใน “กุศลธรรม” ทั้งหลาย
บุคคลนั้น เพราะ "ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม" เป็น “โสดาบัน” มี "ความไม่ตกต่ำ" เป็นธรรมดา เป็น "ผู้เที่ยงแท้" ต่อ "พระนิพพาน" มี "การตรัสรู้พร้อม" ในเบื้องหน้า
อย่างนี้ แล เรียกว่า "ผุดขึ้น แล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่"
สตฺตก. อํ.
๒๓/๑๐/๑๕.
__________
กล่าวคือ "โสดาบัน" รู้ว่า การพรากจากกาม จักพรากได้ อย่างไร ? แต่ "ยังมิได้ทำ" เพราะ "ไม่มีกำลังพอ" ที่จะว่ายไป มีกำลังเพียงแค่ "ลอยตัวอยู่" แล้วเหลียวดู ตรวจดู รอบๆ เป็น "ผู้มองเห็นหนทาง" "มองเห็นฝั่ง" แล้ว
“พระศาสดา”
ทรง "ตรัสสอน" ว่า
“ภิกขเว ปุคคโล อุมุชชิตวา วิปสสติ วิโลเกติ”
• ภิกขเว ปุคคโล = บุคคล (อริยสาวก)
• อุมุชชิตวา = โผล่ขึ้น
• วิปสสติ = เห็นแจ้ง
• วิโลเกติ = ตรวจดู ไต่สวน
__________
• "สกทาคามี"
"สกทาคามี" คือ ผู้ที่ถึง "ความสิ้นรอบ" แห่ง "สัญโยชน์สาม"
“ติณณัง สัญโยชนานัง ปริกขยา”
(สัญโยชน์สาม ถึงความสิ้นไป)
“ราคโทสโมหานัง ตนุตตา”
(สกทาคามี คือ ผู้ที่มี "ราคะ โทสะ โมหะ" เบาบาง กล่าวคือ "ราคะ โทสะ โมหะ" ผอมลง เบาบางลง น้อยลง)
• ตนุตตา = ความผอม ความบาง ความน้อย
• สกทาคามี โหติ สกิเทวะ อิมัง โลกัง อาคันตวา = สกทาคามี คือ ได้เป็นเทวดา กลับมาสู่ "โลกนี้" เพียงคราวเดียว
• สกทาคามี = สกทาคามี
• โหติ = ได้เป็น
• สกิ = คราวเดียว
• เทวะ = เทวดา
• อิมัง = นี้
• โลกัง = โลก
• อาคันตวา = มาสู่
*** หมายเหตุ คำว่า “โลก” ในที่นี้ ยังไม่ชัดเจนว่า โลกอะไร ? ซึ่งใน "อรรถกถา" (คำแต่งใหม่) บอกว่า "โลกมนุษย์"
ใน พระสูตร "มิคสาลาสูตร"
นางมิคสาลา ถามท่านพระอานนท์ ว่า เหตุใด ? บิดาของนาง ชื่อ ปุราณะ และเพื่อนของบิดา ชื่อ อิสิทัตตะ ซึ่งสร้างเหตุปัจจัย ที่ "แตกต่างกัน"
กล่าวคือ คนหนึ่ง "ประพฤติพรหมจรรย์" อีกคน "ไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์"
แต่ “พระศาสดา” กลับทรง "พยากรณ์" ว่า ทั้งสองคน เสวย "คติ" เสมอกัน คือ เป็น "สกทาคามี" ได้ "กาย" ชั้น "ดุสิต"
ท่านพระอานนท์ กล่าวกับนางมิคสาลา ว่า “พระศาสดา” ทรง "ตรัสพยากรณ์" ไว้เช่นนั้น
หลังจากนั้น ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลเรื่องดังกล่าวให้ “พระศาสดา” ทรงทราบ ซึ่ง "พระองค์" ทรงตำหนินางมิคสาลาว่า เป็น คนพาล ไม่ใช่บัณฑิต เป็น คนเขลา
"พระองค์" ทรงตรัสว่า
“ตถาคต” เป็น ใคร ? และ นางมิคสาลา เป็น ใคร ?
เพราะผู้ที่มี "ญาณหยั่งรู้" "ความยิ่งและหย่อน" แห่ง "อินทรีย์ของบุคคล" (สัตว์) ไม่มีประมาณ มีเพียง “ตถาคต” เท่านั้น
ใน พระสูตร ที่ “พระศาสดา” ทรงตรัสถึง "โสดาบัน"
"พระองค์" ทรง "ตรัสสอน" ว่า
"โสดาบัน" ผู้มี "อินทรีย์แก่กล้าที่สุด" คือ "โสดาบัน" จำพวก “เอกพีชี”
เพราะจะกลับมาสู่ "ภพมนุษย์" เพียง "คราวเดียว" เท่านั้น (เอกังเยวะ มนุสกัง ภวัง)
เอกังเยวะ = หนึ่งเดียว คราวเดียว
มนุสกัง = มนุษย์
ภวัง = ภพ
หากเชื่อมโยง "พระสูตร" ของ “พระศาสดา” โดย "แยบคาย" เราจักพิจารณาเห็นได้ว่า "สกทาคามี" เป็นผู้ที่ยังละ "โอรัมภาคิยะสัญโยชน์ห้า" อันมีในส่วน "เบื้องต่ำ" ไม่ได้ทั้งหมด (โอรัมภาคิยานิ สัญโยชนานิ อัปปหีนานิ) กล่าวคือ ยังละ "กาม" ไม่ได้
ดังที่ “พระศาสดา”
ทรง "ตรัสสอน" ว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ก็ บุคคล จำพวกไหน ?
ยัง ละ "โอรัมภาคิยสังโยชน์" ไม่ได้ ("โอรัมภาคิยานิ สัญโยชนานิ อัปปหีนานิ")
ยัง ละ "สังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติ" ไม่ได้ ("อุปปติ ปฏิลา ภิกานิ สัญโญชนานิ อัปปหีนานิ")
ยัง ละ "สังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพ" ไม่ได้ ("ภวะ ปฏิลา ภิกานิ สัญโญชนานิ อัปปหีนานิ")
คือ "สกทาคามี"
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลนี้ แล
• ยังละ "โอรัมภาคิยสังโยชน์" ไม่ได้
• ยัง ละ "สังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติ" ไม่ได้
• ยัง ละ "สังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพ" ไม่ได้ ฯ”
พระไตรปิฎก
(ฉบับหลวง)
เล่มที่ ๒๑
ข้อที่ ๑๓๑.
__________
ดังนั้น การกลับมาสู่ "โลกนี้" เพียงคราวเดียว ของ "สกทาคามี" ย่อม "ไม่ใช่" เทวโลกชั้น "รูปภพ" (รูปธาตุ / รูปภโว / พรหมโลก)
เหตุเพราะ การ "อุบัติ" ในชั้น "รูปภพ" จักต้องเป็น "ผู้พรากออกแล้วจากกาม" (กามโยคะ วิสังยุตโต) และเป็น "ผู้สิ้นสังโยชน์ห้าเบื้องต่ำ" (โอรัมภาคิยานิ สัญโยชนานิ ปหีนานิ) เท่านั้น ซึ่งเป็น "องค์คุณ" ของ "อนาคามี"
ดังนั้น การกลับมาสู่ "โลกนี้" เพียงคราวเดียวของ "สกทาคามี" จึงเป็นได้เพียง การ "อุบัติ" ใน เทวโลกชั้น "กามภพ" หรือ "มนุษย์" อย่างใด อย่างหนึ่ง เท่านั้น
หาก "สกทาคามี" กลับมาสู่ "โลกนี้" เพียงคราวเดียว โดยได้ "อัตภาพ" ใน "ภพ" ของ "มนุษย์" แล้ว ไซร้ ?
จักมี "ความแตกต่าง" กับ "โสดาบัน" จำพวก "เอกพีชี" (เอกังเยวะ มนุสกัง ภะวัง) อย่างไร ?
อีกประการ คือ หากการมาสู่ "โลกนี้" เพียงคราวเดียว ของ "สกทาคามี" เป็นได้ทั้ง "มนุษย์" และ เป็นได้ทั้ง "เทวดา"
ก็จะตรงกับ "โสดาบัน" กลุ่ม "สัตตกขตุปรมะ" ซึ่ง “พระศาสดา” ทรงตรัสสอนว่า "โสดาบัน" กลุ่มนี้ จัก "ท่องเที่ยว" ใน "ภพ" ของ "มนุษย์" และ "เทวดา" อีก ไม่เกิน "เจ็ดคราว" ก็จะ "กระทำที่สุดแห่งทุกข์" ได้ (เทเวจะ มนุสเสจะ) คือ "มนุษย์" บ้าง "เทวดา" บ้าง
อย่างไรก็ตาม โดย "นัยยะ" ของ "สกทาคามี" ที่ “พระศาสดา” ทรงตรัสสอนว่า จักกลับมาสู่ "โลกนี้" เพียงคราวเดียว
ก็อาจ "อุบัติ" เป็นได้ ทั้ง "มนุษย์" และ "เทวดา" อย่างใด อย่างหนึ่ง แต่เพียงแค่ "ครั้งเดียว" (เอกังเยวะ) เท่านั้น
ข้อสังเกตุ คือ
“พระศาสดา” ทรง" ตรัสใช้" "บทพยัญชนะ" ของ "สกทาคามี" โดยบาลีว่า
• “สกิเทวะ อิมัง โลกัง อาคันตวา”
โดยมีคำว่า "เทวะ / เทวัง" ซึ่งหมายถึง "เทวดา" อยู่ด้วย
ดังนั้น จาก "บทพยัญชนะ" ของ "พระองค์" ดังกล่าว การกลับมาสู่โลกนี้ อีกเพียงครั้งเดียว ของ "สกทาคามี" จึง ควรเป็น "เทวดา" เหล่า "กามภพ"
(กามภโว / กามธาตุ)
เหตุเพราะ "สกทาคามี" มี "อินทรีย์ห้า" ที่มี "ความยิ่งกว่า" "โสดาบัน" กลุ่ม "เอกพีชี" ซึ่งเป็นผู้กลับมาสู่ "ภพ" ของ "มนุษย์" อีก "ครั้งเดียว" เช่นกัน
ดังนั้น จึง "ไม่ใช่ฐานะ" ที่ "สกทาคามี" จะมี "คติอุปบัติ" ใน "กามภพ" เสมอกัน กับ "โสดาบัน" กลุ่ม "เอกพีชี"
ขณะเดียวกัน "สกทาคามี" ก็ไม่สามารถขึ้นไปสู่ "เทวดา" เหล่า "รูปภพ" ได้ เนื่องจาก "สกทาคามี" ทำลาย "สังโยชน์เบื้องต่ำ" ได้เพียงแค่ 3 ข้อ เท่านั้น
กล่าวคือ "สกทาคามี" ยังเป็น "ผู้ที่ยังพรากไม่ได้ จากเครื่องผูกในกาม" (กามโยคะ ยุตโต)
มิใช่ "ผู้ที่พรากแล้ว จากเครื่องผูกในกาม" (กามโยคะ วิสังยุตโต) ซึ่งเป็น "องค์คุณ" ของ "อนาคามี"
"พระองค์" ทรง "ตรัสสอน" และ "อุปมา" ถึง "สกทาคามี" ด้วย "บุคคลตกน้ำ จำพวกที่ 5" โดยทรง "ตรัสสอน" ว่า ...
ภิกษุทั้งหลาย !
(๕) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคน ในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มี “สัทธา” ดีใน “กุศลธรรม” ทั้งหลาย มีหิริ ดี มีโอตตัปปะ ดี มีวิริยะ ดี มีปัญญา ดี ใน “กุศลธรรม” ทั้งหลาย
บุคคลนั้น เพราะ “ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม” และ เพราะ “ความเบาบาง" แห่ง "ราคะ โทสะ โมหะ” เป็น “สกิทาคามี” มาสู่โลกนี้ อีก "เพียงครั้งเดียว" แล้ว "ทำที่สุดแห่งทุกข์" ได้
อย่างนี้ แล เรียกว่า "ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง"
สตฺตก. อํ.
๒๓/๑๐/๑๕.
__________
การ "เรียงลำดับคำพูด" ของ “พระศาสดา”
จักเป็นการ "เรียงบทพยัญชนะ" แบบ “ปฏิจจสมุปปันธรรม” คือ ต้องมี "เหตุเกิด" ก่อน แล้วจึงมี "ผลตามมา"
กล่าวคือ
• เมื่อสิ่งนี้มี
• สิ่งนี้ย่อมมี
ดังนั้น จากบท "พยัญชนะ" ของ "สกทาคามี" ที่ "พระองค์" ทรง "ตรัสสอน" ว่า
• “สกทาคามี โหติ สกิเทวัง”
จึงมี "ความหมาย" ว่า
• ได้เป็น "สกทาคามี" ก่อน จึงได้เป็น "เทวดา"
• สกทาคามี = สกทาคามี
• โหติ = ได้เป็น
• สกิ = คราวเดียว
• เทวัง (เทวะ) = เทวดา
ด้วยเหตุนี้
"อริยสาวก" พึงได้ความเป็น "สกทาคามี" ก่อน จึงเป็น "เหตุปัจจัย" ให้ไป "อุบัติ" ใน "ภพ" ของ เทวดา (กามภพ)
"คุณสมบัติ" อีกประการของ "สกทาคามี" ตาม "บทพยัญชนะ" ที่ “พระศาสดา” ทรง "ตรัสสอน" ไว้ คือ
• อมมุชิตวา ปตรติ
(โผล่ขึ้น และว่ายข้ามไป เข้าหาฝั่ง)
• อมมุชิตวา = โผล่ขึ้น
• ปตรติ = ผ่านไป ข้ามไป ซึมซาบ เดือดพล่าน
"สกทาคามี" เป็นผู้ที่มี "ราคะ โทสะ โมหะ" เบาบางลง ตาม "บทพยัญชนะ" ที่ “พระศาสดา” ทรง "ตรัสสอน" ว่า
• “ราคโทสโมหานัง ตนุตตา”
(ราคะ โทสะ โมหะ ผอมลง เบาบางลง น้อยลง)
• ตนุตตา = ความผอม ความบาง ความน้อย
ด้วยเหตุนี้ "สกทาคามี" ควรจัก "อุบัติ" ใน "กามภพ" ที่มี "ความละเอียด" และ "ปราณีต"
ซึ่งหาก "เปรียบเทียบ" ระหว่าง "ภพ" ของ "มนุษย์" กับ "เทวดา" ชั้น "กามภพ"
ย่อมเป็นที่ "ชัดเจน" ว่า "เทวดา" ชั้น "กามภพ" อันประกอบด้วย ...
• จาตุมหาราชิกา
• ดาวดึงส์
• ยามา
• ดุสิต
• นิมมานรดี
• ปรนิมมิตตวสวตี
มี "ความละเอียด" และ "ประณีต" กว่า "ภพ" ของ "มนุษย์"
| หน้าที่เข้าชม | 461,500 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 242,045 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 27 ก.พ. 2563 |
| ร้านค้าอัพเดท | 26 ต.ค. 2568 |
มูลนิธิพุทธโฆษณ์ เผยแผ่ พุทธวจน
